ทำเบียร์วุ้น 2 วินาที
วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ละอองไฟ สไตส์พ่อมด HARRY !!
อยากลองทำดริ๊งค์สไตส์พ่อมด แม่มด จากฮอกวอกส์ ต้องเทคนิคนี้ค่ะ
สิ่งที่ต้องเตรียมคือผงอบเชย (CINNAMON) และ ค็อกเทลที่จุดติดไฟ
เมื่อเปลวไฟในค็อกเทลลุกโชกช่วงขึ้น ลองนำผงอบเชยโปรยลงไปสิค่ะ
สิ่งที่ปรากฏให้เห็น คือ ละอองไฟสวยงาม เสมือนเราคือผู้มีเวทมนตร์!
เทคนิคนี้เป็นส่วนหนึ่งในค็อกเทคติดไฟ ซึ่งสร้างความฮือฮาเมื่อได้เห็น
และหนึ่งในนั้น คือ ค็อกเทลโด่งดังที่ชื่อว่า Flaming Goblet ของพ่อมดแฮร์รี่!
FLAMING LAMBORGHINI
FLAMING LAMBORGHINI…..ร้อน เร็ว แรง ดุจพญาเพลิง!
นี่คือ ค็อกเทลไฟลุกที่อลังการงานสร้างที่สุด!! เพราะต้องสร้างหอคอยจากสารพัดแก้วขึ้นมา อย่างน้อยก็ต้องเตรียมแก้วไว้ต่อๆ เกือบ 3 ใบ หรือไม่ก็ใช้ขวดทรงสูงชะลูดเป็นหอคอย!!
เริ่มจากการผสมเหล้าในแก้วใบแรก ซึ่งแก้วนี้จะใช้เป็นฐาน ส่วนผสม คือ เหล้าไอริสครีม (Baileys) และ เหล้าหวานสีน้ำเงิน Blue Curcao รินทั้งหมดลงในแก้วทรงมาร์ตินี่ สิ่งที่จะได้คือ เหล้าเป็นชั้นๆ โดยชั้นล่างเป็นสีน้ำเงิน และ ชั้นบนเป็นสีน้ำตาล เมื่อเสร็จสิ้นการผสมเหล้าแก้วแรกก็ต่อแก้วขึ้นไปเรื่อยๆ โดยให้แก้วคว่ำลง และชั้นบนสุดให้ใช้แก้วช็อต คว่ำลงเหมือนกันค่ะ
มาถึงขั้นตอนการเตรียมค็อกเทลตัวที่ 2 ซึ่งจะใช้ก่อการครั้งนี้ มีส่วนผสม คือ เหล้ากาแฟ ( Kahlua) + SAMBUCA เป็นเหล้ารสชะเอม สีขาวใส และมีดีกรีแอลกอฮอล์สูงมากๆๆ คือ ประมาณ 35 – 42 ดีกรี!! ทั้งหมดผสมเสร็จในแก้วทรงบรั่นดี
เตรียมพร้อมไฟลุกหรือยังค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็นำ SAMBUCA รินช้าๆบนหอคอยแก้ว ให้เหล้าไหลละเลียดแก้วลงไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็คือตัวนำทางให้ไฟลุกลามลงไปสู่แก้วฐานนั่นเอง จากนั้นก็ลนไฟแก้วบรั่นดีให้อุ่นร้อน โดยลนแก้วด้านนอกประมาณ 1 นาที พอความร้อนได้ที่ก็จุดไฟภายในแก้วบรั่นดีค่ะ ทันใดนั้นเปลวไฟสีน้ำเงินจะลุกพรึ่บสวยงาม แล้วรินเหล้าที่ติดไฟในแก้วบรั่นดีลงบนหอคอย(มีเหล้า SAMBUCA เป็นชนวนไฟอยู่)
สิ่งที่เราจะเห็นจากนี้ คือ ไฟจากค็อกเทลจะค่อยไหลช้าๆ ลงสู่แก้วฐาน แล้วก็ผสมกันกลายเป็น FLAMING LAMBORGHINI ในที่สุด!!!! ถึงวินาทีนี้เราต้องรีบดูดดื่มจากหลอดอย่างรวดเร็ว จนเป็นที่มาของชื่อรถซิ่ง ร้อน และแรงอย่าง LAMBORGHINI!!!
นี่คือ ค็อกเทลไฟลุกที่อลังการงานสร้างที่สุด!! เพราะต้องสร้างหอคอยจากสารพัดแก้วขึ้นมา อย่างน้อยก็ต้องเตรียมแก้วไว้ต่อๆ เกือบ 3 ใบ หรือไม่ก็ใช้ขวดทรงสูงชะลูดเป็นหอคอย!!
เริ่มจากการผสมเหล้าในแก้วใบแรก ซึ่งแก้วนี้จะใช้เป็นฐาน ส่วนผสม คือ เหล้าไอริสครีม (Baileys) และ เหล้าหวานสีน้ำเงิน Blue Curcao รินทั้งหมดลงในแก้วทรงมาร์ตินี่ สิ่งที่จะได้คือ เหล้าเป็นชั้นๆ โดยชั้นล่างเป็นสีน้ำเงิน และ ชั้นบนเป็นสีน้ำตาล เมื่อเสร็จสิ้นการผสมเหล้าแก้วแรกก็ต่อแก้วขึ้นไปเรื่อยๆ โดยให้แก้วคว่ำลง และชั้นบนสุดให้ใช้แก้วช็อต คว่ำลงเหมือนกันค่ะ
มาถึงขั้นตอนการเตรียมค็อกเทลตัวที่ 2 ซึ่งจะใช้ก่อการครั้งนี้ มีส่วนผสม คือ เหล้ากาแฟ ( Kahlua) + SAMBUCA เป็นเหล้ารสชะเอม สีขาวใส และมีดีกรีแอลกอฮอล์สูงมากๆๆ คือ ประมาณ 35 – 42 ดีกรี!! ทั้งหมดผสมเสร็จในแก้วทรงบรั่นดี
เตรียมพร้อมไฟลุกหรือยังค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็นำ SAMBUCA รินช้าๆบนหอคอยแก้ว ให้เหล้าไหลละเลียดแก้วลงไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็คือตัวนำทางให้ไฟลุกลามลงไปสู่แก้วฐานนั่นเอง จากนั้นก็ลนไฟแก้วบรั่นดีให้อุ่นร้อน โดยลนแก้วด้านนอกประมาณ 1 นาที พอความร้อนได้ที่ก็จุดไฟภายในแก้วบรั่นดีค่ะ ทันใดนั้นเปลวไฟสีน้ำเงินจะลุกพรึ่บสวยงาม แล้วรินเหล้าที่ติดไฟในแก้วบรั่นดีลงบนหอคอย(มีเหล้า SAMBUCA เป็นชนวนไฟอยู่)
สิ่งที่เราจะเห็นจากนี้ คือ ไฟจากค็อกเทลจะค่อยไหลช้าๆ ลงสู่แก้วฐาน แล้วก็ผสมกันกลายเป็น FLAMING LAMBORGHINI ในที่สุด!!!! ถึงวินาทีนี้เราต้องรีบดูดดื่มจากหลอดอย่างรวดเร็ว จนเป็นที่มาของชื่อรถซิ่ง ร้อน และแรงอย่าง LAMBORGHINI!!!
10 ค็อกเทลคลาสสิก
10 ค็อกเทลคลาสสิก ยอดรักของนักดื่ม
ใครที่ชอบสังสรรค์ หรือเป็นคอนักดื่มทั้งหลายต้องรู้จักกับค็อกเทล (COCKTAIL) มาบ้างแล้ว ส่วนใครที่ยังสงสัยว่ามันคืออะไร มาลองทำความรู้จักกัน ค็อกเทล (COCKTAIL) ก็คือเครื่องดื่มผสมที่มีเหล้า (มีวัตถุดิบที่เป็นแอลกอฮอล์อยู่เป็นหลัก) แถมยังมีส่วนประกอบอื่นๆ อย่างเช่น น้ำผลไม้, น้ำอัดลม ฯลฯ เข้าไปด้วย ค็อกเทลบางสูตรมักนิยมใช้เหล้าใส่ลงไปอย่างน้อย 1 ชนิด หรืออาจจะมากกว่านั้นแล้วแต่สูตรและสไตล์ของแต่ละคน ซึ่งมักจะนิยมดื่มก่อนการรับประทานอาหารกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะค็อกเทลบางสูตรช่วยให้เจริญอาหาร แถมทำให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่าได้อีกด้วย และหากย้อนลงไปดูประวัติกันอย่างลึกๆ แล้วหลายคนจะทราบกันดีว่าค็อกเทลมีมาตั้งแต่เนิ่นนานแล้ว และมีหลายสูตรที่ถูกจัดให้เป็นค็อกเทลคลาสสิกที่ทั่วโลกให้การยอมรับ เอ้า!! อยากรู้หรือยังว่ามีสูตรไหนกันบ้าง ถ้าพร้อมแล้วใจเย็นๆ เลื่อนลงไปดูบรรทัดถัดไป แล้วจะเห็นว่าเราเตรียมพร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มเย็นๆ ให้กับคุณผู้อ่านอยู่ ...
1. Sidecar
Sidecar เป็นค็อกเทลที่ได้รับความนิยมมากในประเทศฝรั่งเศส ถูกแนะนำโดย MacGarry ผู้ที่ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์แห่งหนึ่งในผับของลอนดอนซึ่งสูตรดังกล่าวนี้เกิดขึ้นมานานตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1992 ที่ถูกคิดค้นโดยทหารอเมริกันคนหนึ่งในเมืองปารีสนั่นเอง
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. บรั่นดีคอนยัคชนิด V.S.O.P. (very special old pale) 1 ½ ออนซ์
3. Grand Marnier (เหล้าหวานรสส้ม) ½ ออนซ์
4. น้ำมะนาวสด 1/3 ออนซ์
วิธีทำ
เริ่มต้นด้วยการใส่คอนยัคชนิด V.S.O.P.ลงไปในเชกเกอร์ตามด้วย Grand Marnier (เหล้าหวานรสส้ม) เติมน้ำมะนาวและใส่น้ำแข็งลงไปในเชกเกอร์ เขย่าแรงและเร็วให้เข้ากัน แล้วรินใส่แก้วที่เตรียมไว้ตกแต่งแก้วให้สวยงามตามชอบ
2. Margarita
เครื่องดื่มสุดคลาสสิกจากประเทศเม็กซิโก เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1942 โดยเอกลักษณ์ของค็อกเทลชนิดนี้คือการตกแต่ง ที่จะใช้เกลือไปทาไว้ที่ขอบปากแก้ว ทำให้ค็อกเทลมีรสชาติเปรี้ยว หวานและเค็ม ผสมผสานกันจนออกมาเป็นรสที่กลมกล่อม ละมุนยิ่งนัก
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. น้ำมะนาวสด ¾ ออนซ์
3. เหล้า triple sec หรือเหล้า Cointreau 1 ออนซ์
4. เหล้า blanco tequila 1/1/2 ออนซ์
วิธีทำ
ก่อนอื่นนำส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้ลงในกระบอกเชก (ให้ใส่น้ำแข็งลงไปพอประมาณด้วย) จากนั้นก็ทำการเชกจนส่วนผสมเข้าที่ รินใส่แก้ว ตกแต่งด้วยมะนาวหั่นเป็นวงกลมสักอันก็สวยงามน่าดื่มแล้ว ส่วนเคล็ดลับในการทาเกลือบริเวณขอบปากของแก้วนั้นให้นำมะนาวไปทาวนๆ บริเวณขอบแก้ว แล้วนำไปคว่ำชุบลงบนเกลือเพียงเท่านี้เอง ง่ายไหมล่ะ
3. Mojito
จัดเป็นค็อกเทลที่เก่าแก่และคลาสสิกอีกตัวหนึ่งของประเทศคิวบา ส่วนรสชาติของ Mojito ค่อนข้างมีรสที่ดีออกเปรี้ยวนิดหวานหน่อย และให้ความรู้สึกสดชื่นของใบสะระแหน่
ส่วนผสม
1. ใบสะระแหน่ประมาณ 8 ใบ
2. น้ำแข็ง
3. เหล้าขาว 2 ออนซ์
4. น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
5. น้ำเชื่อม 1 ออนซ์
6. โซดาเย็น ½ ออนซ์
วิธีทำ
ขั้นตอนแรกใส่น้ำตาล น้ำมะนาว/มะนาวชิ้นเล็กๆ และใบสะระแหน่ลงไปในแก้วที่เตรียมไว้ จากนั้นให้ใช้หลังช้อนบดส่วนผสมให้เข้ากันโดยไม่ต้องละเอียดมากเกินไป ใส่เหล้ารัมลงไปผสมให้เข้ากันตามด้วยน้ำแข็งและโซดา ตกแต่งให้น่าดื่มด้วยมะนาวฝานหรือใบสะระแหน่ก็ได้ตามชอบ
4. Mint Julep
Mint Julep มีต้นกำเนิดจากบาร์เทนเดอร์ที่มีชื่อว่า Chris Mcmillian เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของใบสะระแหน่ค่อนข้างเยอะ ถือได้ว่าเป็นเครื่องดื่มที่ให้คุณค่าทางด้านสุขภาพตัวหนึ่งเลยทีเดียว
ส่วนผสม
1. ใบสะระแหน่ประมาณ 8 ใบ
2. น้ำเชื่อม ½ ออนซ์
3. วิสกี้ bourbon 2 ออนซ์
4. น้ำแข็งบด
วิธีทำ
เริ่มด้วยใส่ใบสะระแหน่, น้ำเชื่อมลงในภาชนะที่เตรียมไว้ ใช้ปลายช้อนบดใบสะระแหน่ให้แหลกเล็กน้อย เติมน้ำแข็งบดและวิสกี้ Bourbon คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ตกแต่งแก้วให้สวยงามด้วยใบสะระแหน่
5. Classic Daiquiri
ค็อกเทลสูตรนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศคิวบาและเป็นค็อกเทลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกตัวหนึ่งเลยทีเดียว
ส่วนผสม
1. รัมขาว 2 ½ ออนซ์
2. น้ำมะนาว 1 ½ ออนซ์
3. น้ำตาล 4 ช้อนชา
4. มะนาวสด 1 ผล
5. น้ำแข็ง
วิธีทำ
เตรียมอุปกรณ์เชกเกอร์ จากนั้นใส่รัมขาว, น้ำมะนาวและน้ำตาลลงไป (ทำให้น้ำตาลละลาย) ตามด้วยใส่น้ำแข็งแล้วเขย่าจนค็อกเทลเย็น รินใส่แก้ว ตกแต่งด้วยมะนาวให้สวยงาม
6. French 75
ส่วนใหญ่การทำค็อกเทลของชาวเม็กซิโกจะเป็นสูตรที่ใส่น้ำมะนาวผมกับเหล้า gin แต่สูตรนี้เป็นการคิดค้นขึ้นมาใหม่ของบาร์เทนเดอร์ที่ชื่อว่า New Orleans ที่เปลี่ยนจากการใช้เหล้า gin มาเป็นการใช้คอนยัคแทน
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. คอนยัค (V.S.O.P.) 1 ½ ออนซ์
3. น้ำเชื่อม ½ ออนซ์
4. น้ำมะนาว ½ ออนซ์
5. Sparkling wine (ไวน์ที่มีการอัดก๊าซลงไป)
วิธีทำ
ก่อนอื่นใส่น้ำแข็งลงไปในเชกเกอร์ ตามด้วยคอนยัค,น้ำเชื่อม และน้ำเลมอน จากนั้นเขย่าจนส่วนผสมเข้ากัน รินใส่แก้ว ตามด้วย Sparkling wine ไว้ด้านบนสุด เป็นอันว่าเสร็จพร้อมเสิร์ฟ
7. Cuba Libre
Cuba Libre ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1900 ที่ฮาวานา ประเทศคิวบา และเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมไปทั่วโลกในฐานะค็อกเทลที่ผสมด้วยรัม โคคา-โคลา และน้ำมะนาว
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. รัมขาว 1 1/2 ออนซ์
3. โคคา-โคลา 3 ออนซ์
4. น้ำมะนาวสด 1 ช้อนชา
5. มะนาวหั่น 1 ส่วน
วิธีทำ
ใส่น้ำแข็งในภาชนะแก้วที่เตรียมไว้ จากนั้นใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไป แล้วตกแต่งด้วยมะนาวฝานให้สวยงาม
8. Martini
ค็อกเทล Martini ถือกำเนิดในปี ค.ศ. 1860 ในประเทศสหรัฐอเมริกา ค็อกเทลสูตรนี้ค่อนข้างมีความเข้มข้นเพราะเป็นเครื่องดื่มที่เน้นเหล้าเป็นพิเศษ และมีหลากหลายสูตร อาทิ Vodka Martini, Dry Martini, Rum Martini ที่นิยมใส่มะกอกดองหรือหอมดองลงไป นอกจากนี้ยังมีสูตรอื่นๆ อีกมากมายให้คอค็อกเทลได้เลือกสรร
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. เหล้า gin 3 ออนซ์
3. vermouth 1 ออนซ์
4. เปลือกมะนาวเป็นเกลียวๆ 1 ส่วน
วิธีทำ
ใส่น้ำแข็งลงในภาชนะแก้วที่เตรียมไว้ จากนั้นใส่เหล้า gin และ vermouth เขย่าให้เข้ากัน หรืออาจผสมให้เข้ากันแล้วคนก็ได้ ตกแต่งแก้วด้วยมะนาวฝานเป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย
9. Daiquiri
เป็นค็อกเทลที่นิยมใช้รัมมาเป็นส่วนผสม ซึ่งมีให้เลือกสรรหลากหลายสูตร อาทิ Daiquiri Banana, Daiquiri Mango, Daiquiri Strawberry ฯลฯ เป็นต้น
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. รัมขาว 2 ออนซ์
3. น้ำมะนาวสด ¾ ออนซ์
4. น้ำเชื่อม ¾ ออนซ์
วิธีทำ
ขั้นตอนแรกให้ใส่น้ำแข็งลงไปในอุปกรณ์เชกเกอร์ ตามด้วยรัมขาว, น้ำมะนาวและน้ำเชื่อม จากนั้นเขย่า (เชก) ให้ส่วนผสมเข้ากันอย่างลงตัว
10. Zombie
ค็อกเทลสูตรนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยฝีมือ Ernest Beaumont-Gantt ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 นับว่านานถึง 83 ปีเลยทีเดียว
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. รัมสีดำ ½ ออนซ์
3. รัม 151-Proof ½ ออนซ์
4. รัมสีเหลืองอำพัน ½ ออนซ์
5. น้ำสับปะรด ¾ ออนซ์
6. น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
7. น้ำเชื่อม
8. ใบสะระแหน่
9. เหล้า Velvet Falernum ½ ออนซ์
วิธีทำ
ใส่น้ำแข็งและส่วนผสมทั้งหมดลงในเชกเกอร์ จากนั้นให้เขย่าจนส่วนผสมเข้ากัน รินใส่แก้ว ตกแต่งด้วยใบสะระแหน่ มะนาวฝาน หรือส้มฝาน
*** ข้อควรรู้
-คอนยัค คือบรั่นดี ซึ่งต้องผลิตจากองุ่นที่ปลูกในแคว้นคอนยัค ประเทศฝรั่งเศส มักนิยมบ่มในถังไม้โอ๊กเก่าและใหม่ มีหลากหลายชนิด ส่วนชนิดข้างต้นที่มีชื่อเรียกว่า VSOP (very special old pale) จัดอยู่ในประเภทคอนยัคที่ใช้เวลาบ่ม 4-10 ปี
-เหล้า triple sec คือ เหล้าที่ทำมาจากผิวส้ม มีดีกรี 40% มีกลิ่นหอมและรสชาติหวาน หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป
-Cointreau เหล้าที่มีรสชาติหวานๆ เปรี้ยวๆ ออกกลิ่นส้ม
-blanco tequila เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดกลั่น ดีกรีแรง มีหลากหลายชนิด ส่วนชนิดblanco (เตกีลาขาว หรือเงิน) เป็นเตกีลาที่ไม่ได้ผ่านการบ่ม หรือบ่มน้อยกว่า 2 เดือน
-Sparkling wine คือ ไวน์ที่มีการหมักก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปด้วย เมื่อเปิดจะมีฟองพุ่งออกมาคล้ายกับเบียร์
-gin คือ เหล้าสัญชาติอังกฤษ เป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ หมักกับเครื่องเทศหรือสมุนไพรและผลจูนิเปอร์ แล้วนำไปกลั่นซ้ำ
-vermouth คือ เหล้าที่ทำมาจากไวน์ 80% อีก 20% เป็นส่วนผสมของน้ำองุ่น สมุนไพร บรั่นดี รากไม้และเครื่องเทศต่างๆ มี 2 ชนิด คือ หวาน (sweet) และไม่หวาน (Dry)-
-เบอร์เบิ้นวิสกี้ (Bourbon Whiskey) คือ วิสกี้ที่ผลิตในประเทศ "สหรัฐฯ" วิสกี้ไม่เกิน 80 ดีกรี และมีส่วนผสมของข้าวโพด 51% และเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กเกินกว่า 4 ปี
-รัม 151-Proof คือเหล้ารัมที่มีดีกรีสูงมากถึง 75.5 ดีกรี
-รัมสีดำ (Dark Rum) รัมที่มีสีเกือบดำ เก็บบ่มไว้ในถังไม้เพื่อให้เกิดสี และผสมกับคาราเมลที่ได้จากการเคี่ยวน้ำตาลจนเป็นสีดำเกือบไหม้
-รัมสีขาว (White Rum หรือ Light Rum ) เป็นรัมที่มีสีใส
-รัมสีทอง (Gold Rum) รัมที่มีสีเหลืองใส ได้จากการเก็บบ่มไว้ในถังไม้เพื่อให้เกิดสี หรือผสมสี กลิ่น รสชาติ ด้วยคาราเมล (Caramel) ที่ได้จากการเคี่ยวน้ำตาลให้เป็นสีเหลืองทอง
-เหล้า Velvet Falernum คือเหล้าหวานที่กลั่นมาจากเหล้าสปิริตผสมกับสมุนไพร, กานพลู, ถั่วอัลมอนด์ และน้ำตาลอ้อย
//-ข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์ manager.co.th
Johnnie Walker
เรามาพูดถึงวิธีการกินเหล้าตระกูล Johnnie Walker กัน
รู้จักคำว่า ' เสียของ ' กันบ้างมั้ย ?
คนไทยเราน่ะชอบทำให้เสียของอยู่เรื่อย
โดยเฉพาะนิสัย ' การดื่มแบบผสมมิกเซอร์ ' ทั้งหลาย
นั่นแหละคือการทำให้วิสกี้ชั้นดีที่บางทีไม่ควรผสมใดๆ ต้อง ' เสียของ '
วันนี้จะหยิบเอาเรื่องวิสกี้ตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ มาพูดกันซะหน่อย
เพราะว่าตระกูลนี้มีหลาย ' เลเบิ้ล ' เหลือเกิน
ซึ่งมีวิธีการดื่มเฉพาะซะด้วย
เริ่มจาก ' เรด เลเบิ้ล ' (Red Label) กันก่อนเลยดีกว่า
จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล น่าจะดูถูกใจคนไทยที่สุด
เพราะน้องเล็กสุดขวดนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการดื่มตลอดค่ำคืน
พูดง่ายๆ ก็คือกินได้นานๆ สนุกสนานกันทั้งคืนนั่นแหละ
แถมวิธีการกินที่ถูกต้องนั้น ก็ต้องผสมกับ ' มิกเซอร์ ' ทั้งหลาย
อันเป็นวิธีการดื่มที่นิยมในหมู่คนไทยอยู่แล้วซะอีก
ตอนนี้ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล ก็เลยขายดีที่สุดไปโดยปริยาย
ง่ายๆ จะใส่น้ำแข็ง ผสมโคล่า ชามะนาว หรือโซดาก็ได้ทั้งนั้น
สุดแล้วแต่ว่าจะชอบรสชาติแบบไหนหลังผสมมิกเซอร์แล้วเท่านั้นเอง
แต่นักดื่มมืออาชีพมักนิยมผสมน้ำก่อนแล้วจึงผสมโซดาตามลงไป
ในอัตราส่วน2:1หรือที่เรียกกันว่า " โซดาลอย " นั่นเอง...
ผสมเสร็จก็ เอ็นจอย ดริ๊งกิ้ง กันได้ทั้งคืน ( แต่อย่าขับรถหลังดื่มนะ )
โตขึ้นมาหน่อย กับความเคร่งขรึมแบบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล
วิสกี้ชั้นดีจากการหมักบ่มเพื่อให้ได้รสชาติที่คลาสสิกที่สุดนานถึง 12 ปี
วิธีการดื่มที่ถูกต้องนั้นก็คลาสสิกไม่แพ้รสชาติของตัววิสกี้
ง่ายๆ เท่ๆ ดูดีด้วยสไตล์ที่เรียกกันว่า ' ออน เดอะ ร็อก ' นั่นเอง
หรือถ้าอยากย๊ากอยากจะผสมมิกเซอร์เหลือเกิน
ก็ต้องใส่น้ำแข็งเข้าไปเยอะๆ วิสกี้ ครึ่งแก้ว และโซดาอีกครึ่งแก้ว
แค่นี้แหละ ก็จะได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล
"วิธีการดื่ม JW Black Label ที่ดีที่สุด จำกันเอาไว้นะครับ
Black จะต้องดื่มโดยผสมกับน้ำและน้ำแข็ง เพื่อที่จะทำให้ได้กลิ่นของบุหรี่แห้ง
กลิ่นของวานิลลา และกลิ่นของผลไม้ ที่จะอบอวลขึ้นมาหลังจากได้สัมผัสกับน้ำ
การผสมน้ำจะทำให้ได้รสของวิสกี้ที่ Strong ขึ้น (ภาษาไทยน่าจะเป็นคำว่า เข้มขึ้นครับ)
มาถึงวิสกี้ตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ ที่ไม่ค่อยจะเห็นบ่อยนักบ้างดีกว่า
เริ่มจาก จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล อายุ 18 ปีกันก่อน
แค่นำ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล ไปใส่ในช่องแช่แข็งสัก 24ชั่วโมง
ถ้าที่ในช่องแช่แข็งยังเหลือก็นำแก้วทรงสูงเปล่าๆ แช่ไว้ด้วย
พอได้เวลา ก้อรินใส่แก้วที่แช่ไว้ข้างกันๆ นั่นแหละ แล้วดื่มเข้าไปเลย
ทันทีที่วิสกี้เย็นจัดปะทะกับความอุ่นในปาก กลิ่นหอมหวนนุ่มลิ้นจะอบอวล
แหม...ยิ่งถ้ามีช็อกโกแล็ตดีๆ ไว้กินเข้าคู่ล่ะก็จะเป็นความสุขที่ลืมไม่ลงเลย เชียว
"Gold Label เนื่องจากการดื่มวิสกี้ ไม่จำเป็นจะต้องคำนึงว่า วิสกี้จะเกิดการแข็งตัว
เมื่อนำไป Frozen หรือ แช่ให้เย็นจัด โดยเฉพาะ Gold ขวดนี้
ยิ่งคุณได้สัมผัสมัน ด้วยความเย็นมากเท่าไหร่
รสชาติและกลิ่นของ Gold ขวดนี้ จะยิ่งนุ่มและอบอวลขึ้น
การจิบควรจิบทีละน้อย และยิ่งถ้าได้ ช๊อกโกแลต มารับประทานด้วยแล้ว
คุณจะได้สัมผัส ความพิเศษ ว่าทำไม วิสกี้ขวดนี้ จึงได้รับให้ประดับด้วยฉลากสีทอง"
ส่วน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ที่มีจำหน่ายแบบจำกัดประเทศนั้น
หาน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ สักก้อน ใส่ในแก้วปากกว้างเพียงแค่ก้อนเดียว
ไม่ต้องกลัวว่าน้ำแข็งก้อนนั้นจะเหงา เพราะเราจะเฝ้ามองอย่าทะนุถนอม
จากนั้นริน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ลงไปไม่ต้องท่วมน้ำแข็ง
แกว่งแก้วเล็กน้อย ให้อุณหภูมิของวิสกี้ชะอุณหภูมิของน้ำแข็งก้อนโต
ดมกลิ่นวิสกี้ที่ระเหยขึ้นมาเล็กน้อย
ก่อนลิ้มรสวิสกี้ที่อุณหภูมิพอเหมาะพอดี
งานนี้จะได้ รสชาติ กลิ่น และแสงที่วิสกี้ตกกระทบกับก้อนน้ำแข็งชวนมอง
"วิธีการดื่ม Green Label ให้ได้รสชาติมากที่สุด จำไว้นะครับ
ให้กินในแบบของ On the Rock ด้วยการริน Green Label ลงในแก้วพอประมาณก่อน
หลังจากชิมและรับกลิ่นรมควันจางๆและไอทะเล กลิ่นถังเชอรรี่ รวมถึงผลไม้ชนิดต่างๆ
เช่น แอพพริคอท ผิวส้ม พีช บวกกับกลิ่นเปลือกไม้ป่า และหญ้าอ่อน"
ปิดท้ายกันที่วิสกี้ชั้นสูง จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล อายุ 25 ปี
ที่หมักบ่มจากมอลต์คุณภาพสูง ตามวิธีการคลาสสิกแบบศตวรรษที่ 19
วิธีการดื่มวิสกี้ชั้นสูงนี้ก็คลาสสิกมาก เตรียมแก้วบรั่นดีสวยๆ ไว้สัก 2ใบ
แก้วนึงรินวิสกี้รอไว้ ส่วนอีกแก้วนึงรินน้ำแร่เย็นๆ ไว้เช่นกัน
ดื่มน้ำแร่เย็นๆ เพื่อปรับอุณหภูมิในช่องปากกันก่อน
จากนั้นจิบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล ในแก้วบรั่นดีอีกใบตาม
เมื่อน้ำแร่เย็นๆ ที่หลงเหลืออยู่ในช่องปากผสมกับวิสกี้ชั้นดีนี้
รสชาติที่แอบซ่อนจะซึมผ่านเพดานปากไปมัดใจนักดื่มเหล้าทั้งหลายไม่รู้ลืม
" การดื่มที่ดีที่สุด แน่นอนครับ วิสกี้ระดับนี้ จะต้องเป็นการดื่มแบบ จิบวิสกี้ โดยไม่เติมอะไร
หรือภาษาบ้านๆก็เรียกว่า ดื่มกันเพียวๆนี่แล่ะครับ
เจ้าของ OW บอกมาว่า จะให้ดี ควรจะอมน้ำแข็งให้เกิดความเย็นในปาก
เมื่อน้ำแข็งละลายหมด จึงค่อยจิบ Blue เข้าไป จะได้รับรสชาติที่ดีที่สุด"
เสร็จสิ้นครบทั้ง 5 เลเบิ้ลของตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กันแล้ว
ต่อจากนี้นักดื่มเหล้าชาวไทยทั้งหลาย ก็จะดื่มได้แบบไม่เสียของกันแล้ว
แต่ที่สำคัญที่สุด ดื่มแล้วจะมึนน้อยหรือมึนมาก ก็อย่าขับรถเลย
เก็บชีวิตที่มีค่าไว้สัมผัสกับสิ่งดีๆ
ที่รอเราอยู่มากมายในวันข้างหน้าดีกว่า ...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)