วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558
อร่อยคลายร้อนง่ายๆ ได้ทั้งน้ำได้ทั้งเนื้อ
การได้ไอเย็นจากเครื่องดื่มประเภทน้ำปั่น น้ำหวาน น้ำอัดลม หรือไอศครีมนั้นช่วยดับกระหายได้ดีแท้ หากแต่นั้นเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้นหากต้องการให้ร่างกายคายความร้อนออกมาให้มากที่สุด การสรรหาอาหารที่ช่วยขับเหงื่อคือวิธีการที่ช่วยแก้สมการความร้อนในฤดูกาลช่วงกลางปีแบบนี้ได้ดีทีเดียว ซึ่งในวันนี้เราจะมาชี้แนะให้ทราบกันว่ามีอาหารประเภทใดบ้าง
1.น้ำชาร้อน หลายคนอาจจะเถียงคอเป็นเอ็นว่าอากาศแบบนี้ชาเย็นไม่ดีกว่าเหรอ ! ใช่ครับ ชาเย็นช่วยได้ดี แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดต้องเป็นชาร้อนเพราะจะช่วยขับเหงื่อและระบายความร้อนออกจากร่างกายโดยตรงแถมยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติและลดอาการอ่อนเพลียเพราะอากาศอีกด้วย
2.เครื่องเทศสมุนไพร จัดอยู่ในกลุ่มอาหารประเภทเผ็ดร้อน นิยมใช้กันในหลายประเทศแถบเอเชียหรือแม้แต่ชาวตะวันตกก็ยังติดในรสชาติความเผ็ดร้อน และที่ไม่ทำให้ผิดหวังคือช่วยขับเหงื่อได้เป็นอย่างดี ขับความร้อนทำให้ร่างกายและสมองรู่สึกปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
3.ผักปวยเล้ง แตกต่างจากอาหารประเภทอาหารที่กล่าวมาในข้างต้น เพราะผักชนิดนี้จัดอยู่ในประเภทยาเย็น เป็นผักประจำหน้าร้อนตลอดศก มีคุณสมบัติช่วยขับร้อน แก้กระหาย บำรุงเลือด โดยเฉพาะคุณแม่ที่พึ่งคลอดลูกอยู่ไฟคุณพ่อบ้านควรจัดให้โดยเร็วพลัน
4.น้ำสมุนไพร สำหรับมิตรรักนักดื่มน้ำเพื่อสุขภาพทุกหมู่เหล่า ใครที่ใคร่จิบน้ำสมุนไพรไม่ว่าจะเป็น น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะนาว น้ำตะไคร้ น้ำมะพร้าว หรือแม้แต่น้ำมะตูม จะเป็นผลดีต่อคุณอย่างยิ่งในช่วงหน้าร้อนของสยามประเทศ เพราะทั้งหมดที่กล่าวมาฤทธิ์ ช่วยขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ รักษาอาการร้อนในช่องปาก คืนความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า แถมยังขับเสมหะได้ด้วยนะเออ แต่ข้อควรน่าสนใจคืออย่าเพลินใส่น้ำตาลเยอะเกินไปเพราะคุณอาจจะได้โรคเบาหวานมาเป็นของแถมแล้วจะหาว่าพี่หมูอู๊ดไม่เตือน...... !
ขอบคุณข้อมูลจาก food.spokedark.tv
วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558
ไวน์ชนิดไหนคู่กับเมนูประเภทใด มารยาทที่ต้องรู้ในการจิบ!
“จริงๆ การดื่มไวน์ ไม่ว่าจะกับอาหารชนิดไหนก็ตาม หากเราชอบก็สามารถทานคู่กันได้ เพียงแต่ว่า อาหารบางอย่าง ถ้าทานกับไวน์ที่ไม่เหมาะกัน มันจะทำให้ทั้งรสชาติอาหารและรสชาติไวน์เปลี่ยนไปเลย อาหารจากที่อร่อย อาจกลายเป็นไม่อร่อยเลยก็ได้ รวมถึงไวน์ ต่อให้เป็นไวน์ขวดละแสน แต่ถ้าเราเลือกอาหารไม่เข้ากัน ก็ทำให้ไวน์เสียรสชาติไปเลย ในทางกลับกัน ถ้าเราเลือกอาหารที่เข้ากันได้ดี ทั้งอาหารและไวน์มันจะเข้ากัน จนทำให้เรารู้สึกว่าทั้งสองอย่างอร่อยยิ่งขึ้น”
“คาแร้กเตอร์ของไวน์ขาวมีหลากหลาย เช่น หากเป็นไวน์ที่ทำจากองุ่นพันธุ์โซวินญอง บลอง (Sauvignon Blanc) เวลาดื่มแล้วจะรู้สึกสดชื่น เหมาะสำหรับดื่มไปได้เรื่อยๆ หรือดื่มเริ่มต้นมื้ออาหาร ซึ่งไวน์ขาวโซวินญอง บลอง นี้ จะเหมาะกับการทานอาหารจำพวกซีฟู้ด (seafood=อาหารทะเล) ปลาที่มีเนื้อสีขาว หรือหอยนางรมสด
หรือไวน์ขาวจากพันธุ์องุ่นชาร์ดอนเน่ย์ (Chardonnay) ก็จะมีรสชาติเข้มข้นขึ้นมาอีกนิด ตัวนี้สามารถทานกับไก่ย่างหรือหมูย่างก็ยังได้ คือ เป็นเนื้อสัตว์สีขาว หรือเนื้อหมูก็พอได้ แต่ไม่ถึงกับขั้นเนื้อแดงอย่าง เนื้อวัว”
“อาหารที่ไม่น่าจะสั่งมาทานคู่กับไวน์ขาว ก็เช่น เนื้อย่างบนเตาถ่าน ทานคู่กับไวน์ขาวโซวินญอง บลอง อันนี้ด้วยรสชาติแล้ว มันเหมือนไปฆ่ากันเกินไป เพราะจากการที่ลิ้นเราสัมผัสกับเนื้อที่มีกลิ่นควันไฟแล้ว พอไปโดนโซวินญอง บลอง ที่มีรสชาติออกเปรี้ยวเล็กน้อย รสชาติไวน์มันจะออกมาไม่ดี รสชาติอาหารก็พลอยไม่อร่อยไปด้วย
หรืออย่างอาหารที่มีความเป็นครีมมากเกินไป อย่างเช่น พาสต้า ครีมซอส (Pasta Cream Sauce) ก็เช่นกัน ถ้าไปทานคู่กับโซวินญอง บลอง ที่ออกรสชาติออกเปรี้ยวๆ มันจะทำให้ลิ้นรับรสว่า ไวน์มีรสชาติขม เหมือนขมติดอยู่ในปาก ขมติดคอ จากไวน์ที่สดชื่นดื่มง่ายๆ จะกลายเป็นไวน์รสชาติขมได้”
“ไวน์แดง จิบคู่ได้หลายอย่าง ทั้งพวกเนื้อวัว เนื้อแกะ หรือปลาเนื้อแดง เช่น แซลมอน บางคนอาจจะบอกว่า ปลาต้องทานกับไวน์ขาวอย่างเดียว จริงๆ ไม่ใช่ เพราะปลาบางชนิดที่มีรสชาติเข้มๆ ก็สามารถทานคู่กับไวน์แดงได้ แต่อย่างไรก็ยังควรที่จะเป็นไวน์แดงที่รสชาติ อ่อนลงมาเล็กน้อย อย่างเช่น ไวน์แดงจากองุ่นพันธุ์ พิโนนัวร์ (Pinot Noir)
แต่ถ้าเป็นไวน์แดงรสเข้มเลย อย่างเช่น กาแบร์เนต์ โซวีนยอง (Cabernet Sauvignon) ของชิลี แบบนี้จะแนะนำให้ทานคู่กับเนื้อที่มีซอสรสเข้มไปเลย ก็อาจจะแนะนำเป็นเนื้อสเต็กฮ็อกกูเบ ราสซอสแบล็กทรัฟเฟิล ที่มีกลิ่นหอมของเห็ด พอได้ไวน์ที่หอมๆ อย่าง กาแบร์เนต์ โซวีนยอง มาทานคู่กัน มันก็จะเข้ากันมาก ทั้งไวน์และอาหารมันจะส่งเสริมกันให้ยิ่งอร่อย”
“ไวน์แดง เป็นอะไรที่ใจกว้าง ทานกับอะไรก็ได้ แต่ก็มีบางประเภทที่ทานแล้วอาจไม่อร่อยนัก เช่น อาหารซีฟู้ดทั้งหลาย หรืออาหารจำพวกปลาเนื้อขาวทั้งหลาย เพราะเนื้อปลาเหล่านั้นมีรสชาติจืด เมื่อทานกับไวน์รสเข้ม ก็จะทำให้เราไม่ได้รสชาติของอาหารนั้นๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หอยนางรมสด จะไม่เหมาะกับไวน์แดง อาหารซีฟู้ดเหล่านี้จะเหมาะกับพวก สปาร์คกิ้งไวน์ (Sparking Wine) หรือแชมเปญ (Champagne) รวมถึงไวน์ขาวพันธุ์โซวินญอง บลองมากกว่า ซึ่งตรงนี้เราอาจสังเกตได้ว่า ห้องอาหารหลายแห่งเลยที่มักจัดโปรโมชันหอยนางรมคู่กับโซวินญอง บลอง หรือหอยนางรมคู่กับแชมเปญ สาเหตุก็เพราะรสชาติมันเข้ากัน ทานแล้วจะยิ่งอร่อยนั่นเอง”
ชีส (Cheese) อาหารอีกชนิดที่ได้รับความนิยมนำมารับประทานคู่กับไวน์ ซึ่งผู้จัดการสาวแห่งห้องอาหาร วี ไวน์ แอนด์ กริลล์ ก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมว่า... อร่อยแน่ ถ้าเลือกได้เหมาะ!
“ทานชีสได้กับไวน์หลายชนิดมาก หลายคนอาจจะชินว่า ชีสจะทานคู่กับไวน์แดงเท่านั้น ชีสทานกับอย่างอื่นไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ชีสสามารถทานกับสปาร์คกิ้งไวน์ได้ ทานกับไวน์ขาวบางตัวก็ได้ ทั้งนี้เพราะชีสมีหลายพันชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็เลือกทานกับไวน์ที่แตกต่างกันได้
เช่น ครีมชีส (Cream Cheese) ที่มีความนุ่ม ก็ควรทานกับไวน์แดงที่มีรสชาติความเข้มระดับกลาง และไม่ควรทานคู่กับไวน์ขาวที่รสเปรี้ยวอย่าง โซวินญอง บลอง เพราะอย่างที่บอกว่าไวน์รสเปรี้ยว เมื่อได้รับรสครีมเยอะๆ อาจทำให้รู้สึกขมได้ ดังนั้นถ้าอยากทานไวน์ขาวกับชีส ก็อาจเลือกเป็นชีสแข็งที่ทานแล้วไม่ค่อยติดลิ้น และเลือกทานกับไวน์ขาวรสชาติเข้มสักหน่อยอย่าง ชาร์ดอนเน่ย์ แบบนั้นจะเหมาะกว่า”
ไม่จับไวน์ที่ตัวแก้ว “สิ่งที่ไม่ควรทำเลย คือ จับตัวแก้วไวน์ ไม่ว่าจะเป็นไวน์ขาว ไวน์แดง หรือแม้แต่แชมเปญ เพราะอุณหภูมิความร้อนของมือเรา จะไปให้ไวน์เสียรสได้ ทั้งยังดูเป็นการเสียมารยาทด้วย การจับที่ถูกต้องคือ ให้จับตรงก้านแก้ว ทั้งนี้การจับที่ตัวแก้ว แบบนั้นเหมาะจะใช้ในการจับแก้วบรั่นดี เหตุผลคือ พวกเหล้าบรั่นดีนิยมดื่มแบบอุ่นๆ บรั่นดีบางตัว เด็กเสิร์ฟถึงกับต้องวอร์ม (warm) เพื่อให้แก้วอุ่น แล้วจึงรินบรั่นดีลงไป เพื่อที่จะให้บรั่นดีหอมละมุนอยู่ในคอ และได้รสชาติดียิ่งขึ้น
ปล่อยให้เจ้าภาพเลือกไวน์ ตามมารยาทแล้ว หากคุณไม่ใช่เจ้าภาพ ควรปล่อยให้เจ้าภาพเลือกไวน์เอง แต่หากคุณเป็นเจ้าภาพ หรือเป็นคนที่เจ้าภาพให้เกียรติคุณเป็นผู้เลือกไวน์ Wine Sommerlier หรือผู้แนะนำไวน์ จะเอาไวน์มาให้คุณชิม และตัดสินใจ ซึ่งโดยมารยาทการชิมไวน์นั้น ควรให้ผู้เลือกเป็นผู้ชิมไวน์เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ควรที่จะขอให้คนอื่นร่วมชิมเพื่อช่วยตัดสินใจ
ให้ Wine Sommerlier ช่วยแนะนำ หลักง่ายๆ หากคุณไม่ชำนาญเรื่องไวน์ แล้วต้องเป็นเจ้าภาพ หรือผู้เลือกไวน์คือ ขอให้ Wine Sommerlier เป็นผู้แนะนำ โดยคุณอาจบอกความต้องการว่า อยากได้ไวน์แบบไหน เช่น ไวน์แดงรสเข้ม หรือไวน์ขาวที่ดื่มง่าย เพื่อให้ Wine Sommerlier เสนอแนวทาง และแนะนำไวน์ได้ตรงตามความต้องการของคุณ
ผู้เลือกไวน์ จะได้รับการรินไวน์ คนสุดท้าย เมื่อชิมและตัดสินใจสั่งแล้ว Wine Sommerlier จึงจะนำไวน์มาเสิร์ฟ โดยจะเริ่มเสิร์ฟจากคนอื่นๆ ในโต๊ะก่อน บางแห่งอาจเสิร์ฟผู้หญิงในโต๊ะให้ครบทุกคนก่อน แล้วค่อยเสิร์ฟผู้ชายท่านอื่นในโต๊ะ เมื่อครบทุกคนแล้วจึงมาเสิร์ฟคนเลือกไวน์ พูดง่ายๆ คือ คนที่เลือกไวน์จะได้รับการรินไวน์เป็นคนสุดท้ายในโต๊ะเสมอ
แกว่ง-ดูขาไวน์ ควรแกว่งแก้วไวน์เบาๆ ให้ไวน์สัมผัสกับอากาศ เพื่อให้ไวน์พัฒนาตัวเองได้มากขึ้น จากนั้นหากเชี่ยวชาญสักหน่อย อาจมองเพื่อดูสีและขาไวน์ (ลักษณะการเคลื่อนตัวลงมาของไวน์ เมื่อเขย่าแก้วแบบหมุนวนแล้ว) นักดื่มไวน์ที่เชี่ยวชาญบางท่านแค่เพียงดูขาไวน์ ก็จะรู้ถึงอายุของไวน์ รวมถึงรู้ว่า ไวน์นั้นๆ มีปริมาณน้ำตาลอยู่มากน้อยแค่ไหน ถ้าไหลเร็วจะแสดงว่า น้ำตาลไม่เยอะ เพราะมีความหนืดน้อย น้ำตาลน้อย นั่นคือ ยังเป็นไวน์สดๆ บ่มไม่นาน รสชาติจะออกเปรี้ยว เป็นต้น
สูดกลิ่นหอม ก่อนจิบทีละนิด ก่อนจิบไวน์ ควรสูดกลิ่นหอมของไวน์ก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ จิบ พร้อมอมไว้ในปากสักครู่ก่อนกลืน เพื่อให้ได้ทั้งกลิ่น และรสชาติของไวน์อย่างเต็มที่
เริ่มต้นด้วยไวน์ขาว จึงต่อด้วยไวน์แดง หากต้องการดื่มไวน์ 2 ชนิด ควรเริ่มต้นด้วยไวน์ขาว แล้วต่อด้วยไวน์แดง เนื่องด้วยตัวคาแร้กเตอร์ของไวน์แดงไม่ว่าจะเป็นพันธุ์องุ่นอะไรก็ตาม ความเข้มข้นของเขาก็จะเยอะกว่าไวน์ขาวอยู่ดี หากเราดื่มไวน์แดงก่อน จะทำให้ไวน์แดงซึ่งมีความฝาดอยู่ในตัว ติดอยู่ที่ลิ้น พอมาดื่มไวน์ขาว มันก็จะทำให้เราไม่ได้รับรสชาติที่ดีของไวน์ขาว
แต่หากท่านไหน อยากทานไวน์แค่ชนิดเดียว อาจเลือกเป็นไวน์ขาวรสชาติกลางๆ เพื่อที่จะสามารถทานได้กับอาหารหลายชนิด หรืออาจตัดสินใจตามอาหารจานหลักที่เราเลือกไว้ เช่น จะทานอาหารจานหลักเป็นเนื้อแกะ ก็อาจจะเลือกไวน์แดงไปเลย แต่ก่อนที่อาหารจานหลักเสิร์ฟ เราก็อาจจะแค่จิบไวน์นิดหน่อยกับสลัด หรืออาหารจานอื่นๆ ไปก่อน”
“ที่สุดแล้ว เรื่องของการดื่มไวน์มักเป็นไปตามความพึงพอใจของแต่ละบุคคล บางคนคนชอบไวน์รสชาติเข้มหนักแน่น ก็จะคิดว่าขอแค่เป็นไวน์ที่ตัวเองชอบ จะกินกับอะไรก็อร่อย เพราะคุณชอบแบบนั้น ฉะนั้นท้ายที่สุดแล้ว มันจึงเป็นเรื่องที่ว่า ยังไงก็ได้ ขอแค่คุณมีความสุข กับมื้ออาหารของคุณ”
วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ละอองไฟ สไตส์พ่อมด HARRY !!
อยากลองทำดริ๊งค์สไตส์พ่อมด แม่มด จากฮอกวอกส์ ต้องเทคนิคนี้ค่ะ
สิ่งที่ต้องเตรียมคือผงอบเชย (CINNAMON) และ ค็อกเทลที่จุดติดไฟ
เมื่อเปลวไฟในค็อกเทลลุกโชกช่วงขึ้น ลองนำผงอบเชยโปรยลงไปสิค่ะ
สิ่งที่ปรากฏให้เห็น คือ ละอองไฟสวยงาม เสมือนเราคือผู้มีเวทมนตร์!
เทคนิคนี้เป็นส่วนหนึ่งในค็อกเทคติดไฟ ซึ่งสร้างความฮือฮาเมื่อได้เห็น
และหนึ่งในนั้น คือ ค็อกเทลโด่งดังที่ชื่อว่า Flaming Goblet ของพ่อมดแฮร์รี่!
FLAMING LAMBORGHINI
FLAMING LAMBORGHINI…..ร้อน เร็ว แรง ดุจพญาเพลิง!
นี่คือ ค็อกเทลไฟลุกที่อลังการงานสร้างที่สุด!! เพราะต้องสร้างหอคอยจากสารพัดแก้วขึ้นมา อย่างน้อยก็ต้องเตรียมแก้วไว้ต่อๆ เกือบ 3 ใบ หรือไม่ก็ใช้ขวดทรงสูงชะลูดเป็นหอคอย!!
เริ่มจากการผสมเหล้าในแก้วใบแรก ซึ่งแก้วนี้จะใช้เป็นฐาน ส่วนผสม คือ เหล้าไอริสครีม (Baileys) และ เหล้าหวานสีน้ำเงิน Blue Curcao รินทั้งหมดลงในแก้วทรงมาร์ตินี่ สิ่งที่จะได้คือ เหล้าเป็นชั้นๆ โดยชั้นล่างเป็นสีน้ำเงิน และ ชั้นบนเป็นสีน้ำตาล เมื่อเสร็จสิ้นการผสมเหล้าแก้วแรกก็ต่อแก้วขึ้นไปเรื่อยๆ โดยให้แก้วคว่ำลง และชั้นบนสุดให้ใช้แก้วช็อต คว่ำลงเหมือนกันค่ะ
มาถึงขั้นตอนการเตรียมค็อกเทลตัวที่ 2 ซึ่งจะใช้ก่อการครั้งนี้ มีส่วนผสม คือ เหล้ากาแฟ ( Kahlua) + SAMBUCA เป็นเหล้ารสชะเอม สีขาวใส และมีดีกรีแอลกอฮอล์สูงมากๆๆ คือ ประมาณ 35 – 42 ดีกรี!! ทั้งหมดผสมเสร็จในแก้วทรงบรั่นดี
เตรียมพร้อมไฟลุกหรือยังค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็นำ SAMBUCA รินช้าๆบนหอคอยแก้ว ให้เหล้าไหลละเลียดแก้วลงไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็คือตัวนำทางให้ไฟลุกลามลงไปสู่แก้วฐานนั่นเอง จากนั้นก็ลนไฟแก้วบรั่นดีให้อุ่นร้อน โดยลนแก้วด้านนอกประมาณ 1 นาที พอความร้อนได้ที่ก็จุดไฟภายในแก้วบรั่นดีค่ะ ทันใดนั้นเปลวไฟสีน้ำเงินจะลุกพรึ่บสวยงาม แล้วรินเหล้าที่ติดไฟในแก้วบรั่นดีลงบนหอคอย(มีเหล้า SAMBUCA เป็นชนวนไฟอยู่)
สิ่งที่เราจะเห็นจากนี้ คือ ไฟจากค็อกเทลจะค่อยไหลช้าๆ ลงสู่แก้วฐาน แล้วก็ผสมกันกลายเป็น FLAMING LAMBORGHINI ในที่สุด!!!! ถึงวินาทีนี้เราต้องรีบดูดดื่มจากหลอดอย่างรวดเร็ว จนเป็นที่มาของชื่อรถซิ่ง ร้อน และแรงอย่าง LAMBORGHINI!!!
นี่คือ ค็อกเทลไฟลุกที่อลังการงานสร้างที่สุด!! เพราะต้องสร้างหอคอยจากสารพัดแก้วขึ้นมา อย่างน้อยก็ต้องเตรียมแก้วไว้ต่อๆ เกือบ 3 ใบ หรือไม่ก็ใช้ขวดทรงสูงชะลูดเป็นหอคอย!!
เริ่มจากการผสมเหล้าในแก้วใบแรก ซึ่งแก้วนี้จะใช้เป็นฐาน ส่วนผสม คือ เหล้าไอริสครีม (Baileys) และ เหล้าหวานสีน้ำเงิน Blue Curcao รินทั้งหมดลงในแก้วทรงมาร์ตินี่ สิ่งที่จะได้คือ เหล้าเป็นชั้นๆ โดยชั้นล่างเป็นสีน้ำเงิน และ ชั้นบนเป็นสีน้ำตาล เมื่อเสร็จสิ้นการผสมเหล้าแก้วแรกก็ต่อแก้วขึ้นไปเรื่อยๆ โดยให้แก้วคว่ำลง และชั้นบนสุดให้ใช้แก้วช็อต คว่ำลงเหมือนกันค่ะ
มาถึงขั้นตอนการเตรียมค็อกเทลตัวที่ 2 ซึ่งจะใช้ก่อการครั้งนี้ มีส่วนผสม คือ เหล้ากาแฟ ( Kahlua) + SAMBUCA เป็นเหล้ารสชะเอม สีขาวใส และมีดีกรีแอลกอฮอล์สูงมากๆๆ คือ ประมาณ 35 – 42 ดีกรี!! ทั้งหมดผสมเสร็จในแก้วทรงบรั่นดี
เตรียมพร้อมไฟลุกหรือยังค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็นำ SAMBUCA รินช้าๆบนหอคอยแก้ว ให้เหล้าไหลละเลียดแก้วลงไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็คือตัวนำทางให้ไฟลุกลามลงไปสู่แก้วฐานนั่นเอง จากนั้นก็ลนไฟแก้วบรั่นดีให้อุ่นร้อน โดยลนแก้วด้านนอกประมาณ 1 นาที พอความร้อนได้ที่ก็จุดไฟภายในแก้วบรั่นดีค่ะ ทันใดนั้นเปลวไฟสีน้ำเงินจะลุกพรึ่บสวยงาม แล้วรินเหล้าที่ติดไฟในแก้วบรั่นดีลงบนหอคอย(มีเหล้า SAMBUCA เป็นชนวนไฟอยู่)
สิ่งที่เราจะเห็นจากนี้ คือ ไฟจากค็อกเทลจะค่อยไหลช้าๆ ลงสู่แก้วฐาน แล้วก็ผสมกันกลายเป็น FLAMING LAMBORGHINI ในที่สุด!!!! ถึงวินาทีนี้เราต้องรีบดูดดื่มจากหลอดอย่างรวดเร็ว จนเป็นที่มาของชื่อรถซิ่ง ร้อน และแรงอย่าง LAMBORGHINI!!!
10 ค็อกเทลคลาสสิก
10 ค็อกเทลคลาสสิก ยอดรักของนักดื่ม
ใครที่ชอบสังสรรค์ หรือเป็นคอนักดื่มทั้งหลายต้องรู้จักกับค็อกเทล (COCKTAIL) มาบ้างแล้ว ส่วนใครที่ยังสงสัยว่ามันคืออะไร มาลองทำความรู้จักกัน ค็อกเทล (COCKTAIL) ก็คือเครื่องดื่มผสมที่มีเหล้า (มีวัตถุดิบที่เป็นแอลกอฮอล์อยู่เป็นหลัก) แถมยังมีส่วนประกอบอื่นๆ อย่างเช่น น้ำผลไม้, น้ำอัดลม ฯลฯ เข้าไปด้วย ค็อกเทลบางสูตรมักนิยมใช้เหล้าใส่ลงไปอย่างน้อย 1 ชนิด หรืออาจจะมากกว่านั้นแล้วแต่สูตรและสไตล์ของแต่ละคน ซึ่งมักจะนิยมดื่มก่อนการรับประทานอาหารกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะค็อกเทลบางสูตรช่วยให้เจริญอาหาร แถมทำให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่าได้อีกด้วย และหากย้อนลงไปดูประวัติกันอย่างลึกๆ แล้วหลายคนจะทราบกันดีว่าค็อกเทลมีมาตั้งแต่เนิ่นนานแล้ว และมีหลายสูตรที่ถูกจัดให้เป็นค็อกเทลคลาสสิกที่ทั่วโลกให้การยอมรับ เอ้า!! อยากรู้หรือยังว่ามีสูตรไหนกันบ้าง ถ้าพร้อมแล้วใจเย็นๆ เลื่อนลงไปดูบรรทัดถัดไป แล้วจะเห็นว่าเราเตรียมพร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มเย็นๆ ให้กับคุณผู้อ่านอยู่ ...
1. Sidecar
Sidecar เป็นค็อกเทลที่ได้รับความนิยมมากในประเทศฝรั่งเศส ถูกแนะนำโดย MacGarry ผู้ที่ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์แห่งหนึ่งในผับของลอนดอนซึ่งสูตรดังกล่าวนี้เกิดขึ้นมานานตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1992 ที่ถูกคิดค้นโดยทหารอเมริกันคนหนึ่งในเมืองปารีสนั่นเอง
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. บรั่นดีคอนยัคชนิด V.S.O.P. (very special old pale) 1 ½ ออนซ์
3. Grand Marnier (เหล้าหวานรสส้ม) ½ ออนซ์
4. น้ำมะนาวสด 1/3 ออนซ์
วิธีทำ
เริ่มต้นด้วยการใส่คอนยัคชนิด V.S.O.P.ลงไปในเชกเกอร์ตามด้วย Grand Marnier (เหล้าหวานรสส้ม) เติมน้ำมะนาวและใส่น้ำแข็งลงไปในเชกเกอร์ เขย่าแรงและเร็วให้เข้ากัน แล้วรินใส่แก้วที่เตรียมไว้ตกแต่งแก้วให้สวยงามตามชอบ
2. Margarita
เครื่องดื่มสุดคลาสสิกจากประเทศเม็กซิโก เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1942 โดยเอกลักษณ์ของค็อกเทลชนิดนี้คือการตกแต่ง ที่จะใช้เกลือไปทาไว้ที่ขอบปากแก้ว ทำให้ค็อกเทลมีรสชาติเปรี้ยว หวานและเค็ม ผสมผสานกันจนออกมาเป็นรสที่กลมกล่อม ละมุนยิ่งนัก
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. น้ำมะนาวสด ¾ ออนซ์
3. เหล้า triple sec หรือเหล้า Cointreau 1 ออนซ์
4. เหล้า blanco tequila 1/1/2 ออนซ์
วิธีทำ
ก่อนอื่นนำส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้ลงในกระบอกเชก (ให้ใส่น้ำแข็งลงไปพอประมาณด้วย) จากนั้นก็ทำการเชกจนส่วนผสมเข้าที่ รินใส่แก้ว ตกแต่งด้วยมะนาวหั่นเป็นวงกลมสักอันก็สวยงามน่าดื่มแล้ว ส่วนเคล็ดลับในการทาเกลือบริเวณขอบปากของแก้วนั้นให้นำมะนาวไปทาวนๆ บริเวณขอบแก้ว แล้วนำไปคว่ำชุบลงบนเกลือเพียงเท่านี้เอง ง่ายไหมล่ะ
3. Mojito
จัดเป็นค็อกเทลที่เก่าแก่และคลาสสิกอีกตัวหนึ่งของประเทศคิวบา ส่วนรสชาติของ Mojito ค่อนข้างมีรสที่ดีออกเปรี้ยวนิดหวานหน่อย และให้ความรู้สึกสดชื่นของใบสะระแหน่
ส่วนผสม
1. ใบสะระแหน่ประมาณ 8 ใบ
2. น้ำแข็ง
3. เหล้าขาว 2 ออนซ์
4. น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
5. น้ำเชื่อม 1 ออนซ์
6. โซดาเย็น ½ ออนซ์
วิธีทำ
ขั้นตอนแรกใส่น้ำตาล น้ำมะนาว/มะนาวชิ้นเล็กๆ และใบสะระแหน่ลงไปในแก้วที่เตรียมไว้ จากนั้นให้ใช้หลังช้อนบดส่วนผสมให้เข้ากันโดยไม่ต้องละเอียดมากเกินไป ใส่เหล้ารัมลงไปผสมให้เข้ากันตามด้วยน้ำแข็งและโซดา ตกแต่งให้น่าดื่มด้วยมะนาวฝานหรือใบสะระแหน่ก็ได้ตามชอบ
4. Mint Julep
Mint Julep มีต้นกำเนิดจากบาร์เทนเดอร์ที่มีชื่อว่า Chris Mcmillian เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของใบสะระแหน่ค่อนข้างเยอะ ถือได้ว่าเป็นเครื่องดื่มที่ให้คุณค่าทางด้านสุขภาพตัวหนึ่งเลยทีเดียว
ส่วนผสม
1. ใบสะระแหน่ประมาณ 8 ใบ
2. น้ำเชื่อม ½ ออนซ์
3. วิสกี้ bourbon 2 ออนซ์
4. น้ำแข็งบด
วิธีทำ
เริ่มด้วยใส่ใบสะระแหน่, น้ำเชื่อมลงในภาชนะที่เตรียมไว้ ใช้ปลายช้อนบดใบสะระแหน่ให้แหลกเล็กน้อย เติมน้ำแข็งบดและวิสกี้ Bourbon คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ตกแต่งแก้วให้สวยงามด้วยใบสะระแหน่
5. Classic Daiquiri
ค็อกเทลสูตรนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศคิวบาและเป็นค็อกเทลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกตัวหนึ่งเลยทีเดียว
ส่วนผสม
1. รัมขาว 2 ½ ออนซ์
2. น้ำมะนาว 1 ½ ออนซ์
3. น้ำตาล 4 ช้อนชา
4. มะนาวสด 1 ผล
5. น้ำแข็ง
วิธีทำ
เตรียมอุปกรณ์เชกเกอร์ จากนั้นใส่รัมขาว, น้ำมะนาวและน้ำตาลลงไป (ทำให้น้ำตาลละลาย) ตามด้วยใส่น้ำแข็งแล้วเขย่าจนค็อกเทลเย็น รินใส่แก้ว ตกแต่งด้วยมะนาวให้สวยงาม
6. French 75
ส่วนใหญ่การทำค็อกเทลของชาวเม็กซิโกจะเป็นสูตรที่ใส่น้ำมะนาวผมกับเหล้า gin แต่สูตรนี้เป็นการคิดค้นขึ้นมาใหม่ของบาร์เทนเดอร์ที่ชื่อว่า New Orleans ที่เปลี่ยนจากการใช้เหล้า gin มาเป็นการใช้คอนยัคแทน
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. คอนยัค (V.S.O.P.) 1 ½ ออนซ์
3. น้ำเชื่อม ½ ออนซ์
4. น้ำมะนาว ½ ออนซ์
5. Sparkling wine (ไวน์ที่มีการอัดก๊าซลงไป)
วิธีทำ
ก่อนอื่นใส่น้ำแข็งลงไปในเชกเกอร์ ตามด้วยคอนยัค,น้ำเชื่อม และน้ำเลมอน จากนั้นเขย่าจนส่วนผสมเข้ากัน รินใส่แก้ว ตามด้วย Sparkling wine ไว้ด้านบนสุด เป็นอันว่าเสร็จพร้อมเสิร์ฟ
7. Cuba Libre
Cuba Libre ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1900 ที่ฮาวานา ประเทศคิวบา และเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมไปทั่วโลกในฐานะค็อกเทลที่ผสมด้วยรัม โคคา-โคลา และน้ำมะนาว
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. รัมขาว 1 1/2 ออนซ์
3. โคคา-โคลา 3 ออนซ์
4. น้ำมะนาวสด 1 ช้อนชา
5. มะนาวหั่น 1 ส่วน
วิธีทำ
ใส่น้ำแข็งในภาชนะแก้วที่เตรียมไว้ จากนั้นใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงไป แล้วตกแต่งด้วยมะนาวฝานให้สวยงาม
8. Martini
ค็อกเทล Martini ถือกำเนิดในปี ค.ศ. 1860 ในประเทศสหรัฐอเมริกา ค็อกเทลสูตรนี้ค่อนข้างมีความเข้มข้นเพราะเป็นเครื่องดื่มที่เน้นเหล้าเป็นพิเศษ และมีหลากหลายสูตร อาทิ Vodka Martini, Dry Martini, Rum Martini ที่นิยมใส่มะกอกดองหรือหอมดองลงไป นอกจากนี้ยังมีสูตรอื่นๆ อีกมากมายให้คอค็อกเทลได้เลือกสรร
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. เหล้า gin 3 ออนซ์
3. vermouth 1 ออนซ์
4. เปลือกมะนาวเป็นเกลียวๆ 1 ส่วน
วิธีทำ
ใส่น้ำแข็งลงในภาชนะแก้วที่เตรียมไว้ จากนั้นใส่เหล้า gin และ vermouth เขย่าให้เข้ากัน หรืออาจผสมให้เข้ากันแล้วคนก็ได้ ตกแต่งแก้วด้วยมะนาวฝานเป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย
9. Daiquiri
เป็นค็อกเทลที่นิยมใช้รัมมาเป็นส่วนผสม ซึ่งมีให้เลือกสรรหลากหลายสูตร อาทิ Daiquiri Banana, Daiquiri Mango, Daiquiri Strawberry ฯลฯ เป็นต้น
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. รัมขาว 2 ออนซ์
3. น้ำมะนาวสด ¾ ออนซ์
4. น้ำเชื่อม ¾ ออนซ์
วิธีทำ
ขั้นตอนแรกให้ใส่น้ำแข็งลงไปในอุปกรณ์เชกเกอร์ ตามด้วยรัมขาว, น้ำมะนาวและน้ำเชื่อม จากนั้นเขย่า (เชก) ให้ส่วนผสมเข้ากันอย่างลงตัว
10. Zombie
ค็อกเทลสูตรนี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยฝีมือ Ernest Beaumont-Gantt ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 นับว่านานถึง 83 ปีเลยทีเดียว
ส่วนผสม
1. น้ำแข็ง
2. รัมสีดำ ½ ออนซ์
3. รัม 151-Proof ½ ออนซ์
4. รัมสีเหลืองอำพัน ½ ออนซ์
5. น้ำสับปะรด ¾ ออนซ์
6. น้ำมะนาว ¾ ออนซ์
7. น้ำเชื่อม
8. ใบสะระแหน่
9. เหล้า Velvet Falernum ½ ออนซ์
วิธีทำ
ใส่น้ำแข็งและส่วนผสมทั้งหมดลงในเชกเกอร์ จากนั้นให้เขย่าจนส่วนผสมเข้ากัน รินใส่แก้ว ตกแต่งด้วยใบสะระแหน่ มะนาวฝาน หรือส้มฝาน
*** ข้อควรรู้
-คอนยัค คือบรั่นดี ซึ่งต้องผลิตจากองุ่นที่ปลูกในแคว้นคอนยัค ประเทศฝรั่งเศส มักนิยมบ่มในถังไม้โอ๊กเก่าและใหม่ มีหลากหลายชนิด ส่วนชนิดข้างต้นที่มีชื่อเรียกว่า VSOP (very special old pale) จัดอยู่ในประเภทคอนยัคที่ใช้เวลาบ่ม 4-10 ปี
-เหล้า triple sec คือ เหล้าที่ทำมาจากผิวส้ม มีดีกรี 40% มีกลิ่นหอมและรสชาติหวาน หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป
-Cointreau เหล้าที่มีรสชาติหวานๆ เปรี้ยวๆ ออกกลิ่นส้ม
-blanco tequila เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดกลั่น ดีกรีแรง มีหลากหลายชนิด ส่วนชนิดblanco (เตกีลาขาว หรือเงิน) เป็นเตกีลาที่ไม่ได้ผ่านการบ่ม หรือบ่มน้อยกว่า 2 เดือน
-Sparkling wine คือ ไวน์ที่มีการหมักก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปด้วย เมื่อเปิดจะมีฟองพุ่งออกมาคล้ายกับเบียร์
-gin คือ เหล้าสัญชาติอังกฤษ เป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ หมักกับเครื่องเทศหรือสมุนไพรและผลจูนิเปอร์ แล้วนำไปกลั่นซ้ำ
-vermouth คือ เหล้าที่ทำมาจากไวน์ 80% อีก 20% เป็นส่วนผสมของน้ำองุ่น สมุนไพร บรั่นดี รากไม้และเครื่องเทศต่างๆ มี 2 ชนิด คือ หวาน (sweet) และไม่หวาน (Dry)-
-เบอร์เบิ้นวิสกี้ (Bourbon Whiskey) คือ วิสกี้ที่ผลิตในประเทศ "สหรัฐฯ" วิสกี้ไม่เกิน 80 ดีกรี และมีส่วนผสมของข้าวโพด 51% และเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กเกินกว่า 4 ปี
-รัม 151-Proof คือเหล้ารัมที่มีดีกรีสูงมากถึง 75.5 ดีกรี
-รัมสีดำ (Dark Rum) รัมที่มีสีเกือบดำ เก็บบ่มไว้ในถังไม้เพื่อให้เกิดสี และผสมกับคาราเมลที่ได้จากการเคี่ยวน้ำตาลจนเป็นสีดำเกือบไหม้
-รัมสีขาว (White Rum หรือ Light Rum ) เป็นรัมที่มีสีใส
-รัมสีทอง (Gold Rum) รัมที่มีสีเหลืองใส ได้จากการเก็บบ่มไว้ในถังไม้เพื่อให้เกิดสี หรือผสมสี กลิ่น รสชาติ ด้วยคาราเมล (Caramel) ที่ได้จากการเคี่ยวน้ำตาลให้เป็นสีเหลืองทอง
-เหล้า Velvet Falernum คือเหล้าหวานที่กลั่นมาจากเหล้าสปิริตผสมกับสมุนไพร, กานพลู, ถั่วอัลมอนด์ และน้ำตาลอ้อย
//-ข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์ manager.co.th
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)